4 วิธีดูแลสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน
การทำงานมีความท้าทายและความกดดันสูงขึ้น องค์กรที่ต้องการประสบความสำเร็จในระยะยาว ไม่สามารถมองข้ามสุขภาพจิตของพนักงานได้
Harvard Business Review ชี้ให้เห็นว่าพนักงานที่มีสุขภาพจิตที่ดีจะมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงขึ้น ลดอัตราการลาออก และสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่เป็นมิตรและมีส่วนร่วมมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้สุขภาพจิตของพนักงานจะเป็นปัจจัยที่สำคัญแต่ยังมีหลายองค์กรที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างเพียงพอ ปัญหาความเครียด การหมดไฟในการทำงาน และภาวะซึมเศร้า กำลังกลายเป็นความท้าทายที่องค์กรต้องเผชิญ
การให้การสนับสนุนด้านสุขภาพจิตไม่เพียงช่วยให้พนักงานมีความสุขในการทำงานมากขึ้น แต่ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถขององค์กรโดยรวม ดังนั้น องค์กรควรพิจารณาแนวทางที่สามารถนำไปใช้ได้จริง เพื่อดูแลสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน
1. สร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพจิต
องค์กรควรเริ่มต้นด้วยการสร้างวัฒนธรรมที่เปิดกว้างและส่งเสริมการพูดคุยเกี่ยวกับสุขภาพจิตโดยไม่มีอคติ การอบรมผู้นำทีมเพื่อให้สามารถรับรู้สัญญาณของความเครียดหรือความเหนื่อยล้าของพนักงาน และสร้างพื้นที่ที่ปลอดภัยสำหรับการแบ่งปันปัญหาหรือความกังวล สามารถช่วยลดความตึงเครียดในที่ทำงานได้อย่างมาก
การมีนโยบายสนับสนุนพนักงาน เช่น วันหยุดเพื่อพักผ่อน (mental health day) หรือการส่งเสริมให้หัวหน้างานมีการพูดคุยแบบเปิดใจกับทีม สามารถช่วยให้พนักงานรู้สึกว่าองค์กรให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตของพวกเขาอย่างแท้จริง
2. สนับสนุนการทำงานที่ยืดหยุ่น (Flexible Work Options)
Harvard Business Review ระบุว่าการทำงานที่ยืดหยุ่น เช่น การทำงานจากที่บ้าน หรือการกำหนดเวลาการทำงานที่เหมาะสมกับพนักงาน ช่วยลดความเครียดจากการเดินทางและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน การเปิดโอกาสให้พนักงานสามารถกำหนดตารางเวลาทำงานที่เหมาะสมกับตนเองจะช่วยให้พวกเขาสามารถจัดสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวได้ดีขึ้น ซึ่งมีผลต่อสุขภาพจิตในระยะยาว
องค์กรที่มีแนวทางการทำงานที่ยืดหยุ่นจะสามารถรักษาคนเก่งไว้ได้ และช่วยให้พนักงานทำงานด้วยความกระตือรือร้น และความพึงพอใจมากขึ้น
2. ลงทุนในโปรแกรมสนับสนุนสุขภาพจิต (Mental Health Programs)
การมีโปรแกรมหรือเครื่องมือที่ช่วยดูแลสุขภาพจิต เช่น การให้คำปรึกษากับนักจิตวิทยา การสนับสนุนการทำสมาธิ หรือการจัดกิจกรรมเพื่อผ่อนคลาย สามารถช่วยให้พนักงานรับมือกับความเครียด และสร้างพลังงานเชิงบวกในชีวิตการทำงานได้
Harvard Business Review ยังระบุว่าการมี Employee Assistance Programs (EAPs) ที่ให้บริการคำปรึกษาทางจิตวิทยา สามารถช่วยให้พนักงานมีเครื่องมือรับมือกับปัญหาสุขภาพจิตได้ดีขึ้น
องค์กรที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านสุขภาพจิตจะสามารถเพิ่มความผูกพันของพนักงานและสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นบวกมากขึ้น
3. ส่งเสริมกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (Well-being Initiatives)
การจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพ เช่น การออกกำลังกาย การให้คำแนะนำเรื่องโภชนาการ หรือการจัดช่วงเวลาให้พนักงานได้พักผ่อนในระหว่างวันทำงาน จะช่วยปรับปรุงทั้งสุขภาพกายและจิตใจของพนักงาน ซึ่งมีผลต่อความพึงพอใจและประสิทธิภาพในงานโดยตรง
องค์กรสามารถจัดโปรแกรมสุขภาพ เช่น กิจกรรมโยคะ การสนับสนุนการออกกำลังกาย หรือการให้พนักงานสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพจิตได้ง่ายขึ้น สิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างบรรยากาศการทำงานที่ส่งเสริมความสุขและลดความเครียดของพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สุขภาพจิตของพนักงานไม่ใช่แค่เรื่องของแต่ละบุคคล แต่เป็นปัจจัยที่ส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพขององค์กร องค์กรที่มุ่งเน้นการดูแลสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ของพนักงานอย่างจริงจังจะสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับทีมงาน และยังมีโอกาสเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันในระยะยาวได้อีกด้วย
การลงทุนในสุขภาพจิตของพนักงานไม่ใช้ค่าใช้จ่ายแต่เป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง ไม่ว่าจะเป็นด้านความสุขของพนักงาน การรักษาคนเก่ง หรือการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน องค์กรที่ตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาพจิตจะสามารถสร้างวัฒนธรรมที่ดีขึ้น และเป็นองค์กรที่พนักงานอยากร่วมงานด้วยในระยะยาว
Author
ออแบท-อธิษฐ์กร นิยมเดชาธีรฉัตร
PositivePsychologist นักจิตวิทยาองค์กร
Professional Action Learning Coach
Team Psychological Safety Facilitator
Artwork: Jutha.J