ขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ ให้ความต่างสร้างการเติบโต
เมื่อพูดถึงความขัดแย้ง คนส่วนใหญ่มักเลือกที่จะหลีกเลี่ยง เพราะคิดว่าจะนำไปสู่ความไม่พอใจ แตกแยก หรือสูญเสีย แต่ในความเป็นจริง ความขัดแย้งไม่ได้เป็นสิ่งที่เลวร้ายเสมอไป หากเราสามารถจัดการและใช้ประโยชน์จากมันได้อย่างเหมาะสม ความขัดแย้งอาจกลายเป็นตัวกระตุ้นที่นำไปสู่การพัฒนา การสร้างนวัตกรรม และการเสริมสร้างความสัมพันธ์ในทีมได้
"Level of Conflict and Unit of Performance"
เป็นโมเดลที่อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างระดับของความขัดแย้งในทีมและผลการปฏิบัติงาน ซึ่งอธิบายได้ว่า..ระดับความขัดแย้งที่เหมาะสมในทีมสามารถกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ และการแก้ปัญหาได้
ในขณะเดียวกัน หากระดับความขัดแย้งต่ำหรือสูงเกินไป อาจส่งผลให้เกิดปัญหาหรือไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน โดยเน้นให้เห็นว่าความขัดแย้งไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายเสมอไป แต่มีระดับของความขัดแย้งที่เหมาะสมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของทีมได้ ดังนี้
Low Conflict (ความขัดแย้งต่ำ)
เมื่อความขัดแย้งต่ำ ทีมมักจะทำงานตามปกติแต่มักขาดความท้าทายและความคิดสร้างสรรค์ สมาชิกอาจไม่กล้าแสดงความเห็นที่แตกต่างจึงทำให้ประสิทธิภาพการทำงานอยู่ในระดับต่ำ-ปานกลาง
Moderate Conflict (ความขัดแย้งปานกลาง)
ระดับนี้คือจุดที่สามารถใช้ประโยชน์จากความขัดแย้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน สมาชิกในทีมกล้าที่จะแบ่งปันความเห็นที่แตกต่างและใช้ความขัดแย้งในการสร้างสรรค์แนวคิดใหม่ ๆ โดยไม่ทำให้เกิดความแตกแยกหรือความไม่พอใจ
High Conflict (ความขัดแย้งสูง)
หากความขัดแย้งในทีมสูงเกินไป เช่น เกิดการโต้เถียงหรือการปะทะที่รุนแรง อาจทำให้ทีมสูญเสียเวลา พลังงาน และความสัมพันธ์ ส่งผลให้ผลการปฏิบัติงานลดลง
หากเราสามารถบริหารจัดการได้ดีพอ ความขัดแย้งสามารถนำมาซึ่งประโยชน์อย่างที่เราคาดไม่ถึง เช่น
สร้างความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม ความขัดแย้งเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้เกิดการระดมสมอง การพัฒนาความคิดใหม่ ๆ เมื่อผู้คนกล้าที่จะแสดงความเห็นและตั้งคำถาม ทีมจะค้นพบวิธีการแก้ไขปัญหาที่สร้างสรรค์ขึ้น
พัฒนาความสัมพันธ์ในทีม การจัดการความขัดแย้งอย่างเหมาะสม สามารถช่วยเสริมสร้างความเข้าใจและไว้วางใจในทีมได้ เพราะสมาชิกจะได้เรียนรู้ที่จะรับฟังมุมมองที่แตกต่างและปรับตัวให้เข้ากับการทำงานร่วมกัน
ส่งเสริมการเรียนรู้และการพัฒนา ความขัดแย้งที่สร้างสรรค์ช่วยกระตุ้นให้ทีมพัฒนาทักษะในการสื่อสาร การแก้ไขปัญหา และการทำงานร่วมกัน ซึ่งเป็นทักษะสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จในระยะยาว
กระตุ้นให้เกิดการปรับปรุงและการเปลี่ยนแปลง ความขัดแย้งสามารถทำให้องค์กรหรือทีมมองเห็นข้อบกพร่องในกระบวนการทำงานหรือแนวทางปัจจุบัน และกระตุ้นให้เกิดการปรับปรุงเพื่อประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น
5 วิธี บริหารจัดการความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์
1. ปรับทัศนคติ
ทีมควรมองความขัดแย้งเป็นโอกาสที่จะเรียนรู้และพัฒนามากกว่ามองว่าเป็นปัญหา หากเราเข้าใจได้ว่าความขัดแย้งเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้น เราจะสามารถจัดการกับมันได้อย่างสร้างสรรค์
2. ใช้การสื่อสารอย่างเปิดกว้างและตรงไปตรงมา
การพูดคุยที่ชัดเจน ตรงประเด็น และแสดงออกถึงความเคารพต่อกัน ช่วยลดความเข้าใจผิดและเพิ่มความไว้วางใจ
3. มุ่งเน้นที่เป้าหมายร่วมกัน
เพื่อป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งกลายเป็นเรื่องส่วนตัว ทีมควรเน้นที่เป้าหมาย/ผลลัพธ์ที่ต้องการร่วมกัน เช่น การพัฒนาคุณภาพงาน, การแก้ไขปัญหาที่พบเจอ
4. กำหนดกฎเกณฑ์ในการถกเถียง
เช่น ไม่พูดแทรก ไม่ใช้คำพูดที่โจมตีส่วนตัว จะช่วยให้เกิดการถกเถียงที่สร้างสรรค์และเคารพกันและกัน
5. จัดสรรบทบาทของผู้นำทีม
ผู้นำทีมควรมีบทบาทสำคัญในการเป็นตัวกลางที่ช่วยประนีประนอมและชี้นำให้ทีมใช้ความขัดแย้งเพื่อประโยชน์สูงสุด โดยไม่ปล่อยให้เกิดการปะทะที่รุนแรง
ความขัดแย้งไม่ใช่สิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงเสมอไป หากแต่เป็นโอกาสที่สามารถนำไปสู่การพัฒนาและความสำเร็จได้หากจัดการอย่างเหมาะสมด้วยการปรับใช้โมเดล Level of Conflict and Unit of Performance และการขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ ทีมสามารถพัฒนาไปสู่การทำงานที่มีประสิทธิภาพและสร้างสรรค์มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อความสำเร็จขององค์กรในระยะยาว
Author
ยุ่ง ศริยา ประวงษ์ ร่วมกับ ChatGPT
People & Culture Transformation Consultant
Action Learning Coach
Team Psychological Safety Facilitator
Artwork: Jutha.J